วันอังคารที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2564

(034) ขันติ...ที่ถ้ำขันตี สัจจะ...โสตายแลกธรรม หลวงปู่มหาเขียน ฐิตสีโล และ หลวงปู่เหลือง ฉันทาคโม

 


🍂  ขันติ... ที่ถ้ำขันตี
🍂  สัจจะ... โสตายจนได้ธรรม
    หลวงปู่มหาเขียน ฐิตสีโล
       หลวงปู่เหลือง ฉันทาคโม

         พระอาจารย์ เล่าว่า... เมื่อวันที่ ๑๗-๑๘ ธันวาคม ๒๕๖๐ ท่านมีโอกาสได้ติดตามพ่อแม่ครูอาจารย์ หลวงพ่อฉลวย อาภาธโร และคณะศิษย์  ในวาระปฏิบัติธรรมสัญจร เพื่อบูชาคุณพ่อแม่ครูอาจารย์ ด้วยการที่หลวงพ่อ ได้นำองค์หลวงปู่เหลือง ฉันทาคโม  เดินทางไปยัง "ถ้ำขันตี"  ต.นาทัน อ.คำม่วง จ.กาฬสินธุ์ เพื่อเป็นการให้หลวงปู่ ได้ย้อนรำลึกถึงสถานที่ที่ปฏิบัติธรรมในช่วงหนึ่งของท่าน กับเจ้าคุณอาจารย์ พระอริยเวที (หลวงปู่มหาเขียน ฐิตสีโล) จนสามารถได้ธรรมสว่างไสวกันทั้งคู่ ดังที่หลวงพ่อฉลวย ได้เล่าให้พระอาจารย์ ฟังว่า...

       "พ่อแม่ครูอาจารย์ทั้งสองท่าน ชวนกันไปตายที่ถ้ำขันตี เพราะขณะนั้น หลวงปู่มหาเขียนท่านป่วยหนัก จึงได้ชวนหลวงปู่เหลืองไปภาวนาที่ถ้ำขันตี กะว่าจะไปตายกันที่นั่น ซึ่งต่อมาหลวงปู่เหลืองก็ป่วยตามด้วย ท่านทั้งสองจึงตั้งสัจจะว่า จะปฏิบัติแบบโสเป็นโสตาย ถวายชีวิตแด่พระศาสนา จนได้ "ภูมิธรรม" อันสว่างไสวกันทั้งสององค์ ท่านว่า รอดตาย จึงได้ธรรมทั้งคู่"

        ท่านพระอาจารย์ได้เล่าโดยสรุปความว่า เพราะท่านทั้งสองนั้น ต่างมี "วิริยะ" คือมีความเพียรเป็นเลิศ เพราะถ้ำขันตีอยู่ห่างไกลจากหมู่บ้านนับ ๑๐ กิโลเมตร ต้องเดินบิณฑบาต ด้วยการปีนป่ายก้อนหิน ผ่านดงป่าหนาทึบไปกลับหลายชั่วโมง ขณะเดียวกัน ท่านก็ยังอาพาธหนักกันทั้งคู่ แต่ก็ร่วมกันตั้ง "สัจจะ" คือ ขอปฏิบัติบูชาแลกด้วยชีวิต และแม้จะเจ็บป่วยมีเวทนาจวนจะตาย แต่ท่านทั้งสองก็สู้อดทนใช้ธรรมะรักษาด้วย "ขันติบารมี" อันบุคคลทั่วไปยากจะทำได้ จึงสมกับมีผู้ตั้งสมญานามถ้ำแห่งนี้ว่า "ถ้ำขันตี" ซึ่งคำว่า "ขันตี" เป็นภาษาบาลี แปลว่า อดทน นั่นเอง 

     การรำลึกถึงเรื่องราวความเพียรของพ่อแม่ครูอาจารย์ ดังที่ท่านพระอาจารย์ได้นำมาเล่านี้  ก็เพื่อให้พวกเรานั้น ได้ยึดถือเป็นแนวทางแบบอย่างของพ่อแม่ครูอาจารย์ ที่ท่านได้ถือปฏิบัติจนเกิดมรรคผล ได้ธรรมมาสั่งสอนพวกเรา ซึ่งท่านพระอาจารย์ท่านเล่าต่ออีกว่า ท่านไม่รู้สึกแปลกใจเลย ที่มักได้ยินหลวงปู่เหลือง ให้แนวทางการปฏิบัติแก่ลูกศิษย์บ่อยครั้งว่า ขอให้มี ๑.วิริยะ ๒.ขันติ และ ๓.สัจจะ แล้วจะประสบกับมรรคผลขึ้นมาเอง

       นักรบธรรมป่าหุบใหญ่
       ๓๐ มิถุนายน ๒๕๖๔

วันอังคารที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2564

(033) คลื่นโอฆะ มหันตภัยร้าย "นิมิตปริศนาธรรม"


 

✳️ คลื่นโอฆะ มหันตภัยร้าย 

✳️ นิมิตปริศนาธรรม

     🔸 ณ ใต้ร่มกลด กาลครั้งหนึ่ง
ภิกขุผู้ซึ่งภาวนาในท่า
นอนตะแคงขวาในท่าไสยา
ว่าอานาปานสติธรรม

     🔸 สติตามลมเข้าออกเบาหนัก
สักพักจิตสงบสว่างล้ำ
ปรากฏนิมิตปริศนาธรรม
ดังจะพร่ำพรรณาว่านัย

      🔸 อยู่อยู่ภิกขุมาอยู่ระหว่าง
อยู่ท่ามกลางคลื่นลมฝนห่าใหญ่
อยู่ท่ามกลางฟ้าเปรี้ยงปร้างเป็นไฟ
พลันทันใดความมืดพรืดเข้ามา

      🔸 อีกกระแสลมพัดพากระหน่ำ
เมฆฝนดำทะมึนทึนทั่วฟ้า
ห่าฝนหล่นล้นลามโลกา
พัดพาทุกสิ่งกระจัดกระจาย

       🔸 เสียงสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นโลมโลก
สุดเศร้าโศกวิปโยกภัยร้าย
เสียงหวีดกรีดร้องระงมระงาย
่ระคนคลื่นร้ายถาโถมเข้ามา

       🔸 ครานั้น พลันภิกขุเกิดกล้าหาญ
จึ่งอธิษฐานจิตวาจาว่า
ข้าขอทวนกระแสคลื่นโลกา
ถวายชีวาแด่พุทธองค์

       🔸 แล้วมุ่งข้ามคลื่นน้ำอันกว้างใหญ่
ฝ่าความมืดมุ่งไปตามประสงค์
อาจหาญมุ่งไปใจทรนง
แลมาหยุดลงตรงธรรมศาลา

       🔸 ภิกขุอาศัยศาลาหลังน้อย
ผู้รอดตายทยอยเข้ามาหา
เบียดเสียดเข้ามาจนเต็มศาลา
ประหนึ่งว่าภิกขุผู้นำธรรม

       🔸 ต่อมาศาลากลายเป็นร่มกลด
เป็นที่ลดละกิเลสเช้าค่ำ
เป็นที่ภาวนาค้นหาธรรม
ตามมรรคองค์แปดย้ำธรรมอุบาย

       🔸 อันว่ากระแสคลื่นโอฆะใหญ่
มหันตภัยแห่งห้วงน้ำร้าย
พัดพาสัตว์โลกเวียนเกิดเวียนตาย
ดำผุดดำว่ายไปตามคลื่นกรรม

       🔸 อันคลื่นกระแสแห่งกิเลสนี้
ไหลทับทวีสัตว์โลกเช้าค่ำ
กิเลสพัดพาไปตามคลื่นกรรม
ทุกข์ทนช้ำในคลื่นวัฏวน

        🔸 โอ้ว่านัยนิมิตปริศนา
ภิกขุผู้ภาวนาฝึกฝน
เดินตามมรรคเฝ้าปฏิบัติตน
เมื่อหลุดพ้น คนอื่นได้พ้นตาม

        🔸 อกุปปธรรมกวี
        🔸 เหตุเกิดปี ๒๕๖๐

วันจันทร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564

(030) ปริศนา พระธรรมอุทาน...?



🔷 ปริศนา พระธรรมอุทาน...? 🔷 


             เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2554 บุรุษผู้หนึ่ง ได้มีโอกาสไปกราบหลวงปู่กัณหา สุขกาโม ณ วัดป่าทรัพย์ทวี บ้านบุเจ้าคุณ อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา ขณะที่รอกราบหลวงปู่อยู่นั้น บุรุษผู้นี้ ถือโอกาสไปนั่งภาวนาอยู่ในศาลา ตรงเบื้องหน้าพระประธาน และรูปปั้นขององค์หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต และหลวงพ่อชา อยู่นานราว 1 ชั่วโมง การภาวนาครั้งนี้ แปลกกว่าที่ผ่านมา แม้ในศาลาจะมีผู้คนอยู่มากก็ตาม แต่ไม่นานจิตก็ตั้งมั่นสงบลง พลันก็ปรากฏมีเสียงพระธรรมดังกังวานขึ้นมาว่า ...

         ☀️  "ผู้ไม่มีมา ไม่มีไป"
              "ไม่มีที่ให้ไป ไม่มีที่ให้มา" ☀️

            เสียงนั้น ชั่งดังกังวานไพเราะ มีพลัง ชัดจนมาก และเป็นเสียงที่ไม่เคยได้ยินได้ฟังจากที่ไหนมาแต่กาลก่อน เมื่อเสียงนั้นเงียบลง จิตไม่สงสัย ใจก็ตื่นเบิกบาน แลปีติซาบซ่านตราตรึงใจมาจนถึงกระทั่งบัดนี้

         ✨ อกุปปธรรม บันทึกแทนบุรุษผู้นั้น
              "ธรรมอุทาน"  11 กันยายน 2554


☀️ พระพุทธอุทาน ☀️

        นิสฺสิตสฺส จลิตํ
อนิสฺสิตสฺส จลิตํ นตฺถิ
จลิเต อสติ ปสฺสทฺธิ
ปสฺสทฺธิยา สติ นติ น โหติ
นติยา อสติ อาคติคติ น โหติ
อาคติคติยา อสติ จุตูปปาโต น โหติ
จุตูปปาเต อสติ เนวิธ น หุรํ น อุภยมนฺตเร
เอเสวนฺโต ทุกฺขสฺส


☀️ เมื่อไม่มีมา ไม่มีไป
    ย่อมไม่มีเกิด และไม่มีดับ 

☀️ พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสพระพุทธอุทานว่า....

ความหวั่นไหว ย่อมมี แก่บุคคลผู้อันตัณหาและทิฏฐิอาศัยแล้ว
(นิสฺสิตสฺส จลิตํ)

ความหวั่นไหว ย่อมไม่มี แก่บุคคลผู้อันตัณหาและทิฏฐิไม่อาศัยแล้ว
(อนิสฺสิตสฺส จลิตํ นตฺถิ)

เมื่อความหวั่นไหวไม่มี ปัสสัทธิ (ความสงบใจ) ย่อมมี
(จลิเต อสติ ปสฺสทฺธิ)

เมื่อปัสสัทธิมี นติ (ความน้อมไป) ย่อมไม่มี
(ปสฺสทฺธิยา สติ นติ น โหติ)

เมื่อนติไม่มี อาคติคติ (การมาและการไป) ย่อมไม่มี
(นติยา อสติ อาคติคติ น โหติ)

เมื่ออาคติคติไม่มี จุตูปปาตะ (การเคลื่อนและการเกิดขึ้น) ย่อมไม่มี
(อาคติคติยา อสติ จุตูปปาโต น โหติ)

เมื่อจุตูปปาตะไม่มี อะไรๆ ก็ไม่มีในโลกนี้ ไม่มีในโลกอื่น ไม่มีในระหว่างโลกทั้งสอง
(จุตูปปาเต อสติ เนวิธ น หุรํ น อุภยมนฺตเร)

นั่นแหละ คือที่สุดแห่งทุกข์ละ
(เอเสวนฺโต ทุกฺขสฺส)

วันเสาร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564

(029) ธรรมาปาฏิหาริย์ อำนาจแห่ง "พุทโธ"




❇️ บันทึกนักภาวนา 4/2555
❇️ ธรรมาปาฏิหาริย์ อำนาจแห่ง "พุทโธ" 
 
          ท่านทั้งหลาย มีเรื่องหนึ่งที่อยากจะเล่าให้ฟัง คือ ในช่วงเช้าของวันศุกร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ 2555  ก่อนที่บุรุษผู้หนึ่ง จะเดินทางไปกราบครูอาจารย์ที่กาฬสินธุ์ เขาได้รับโทรศัพท์จากพี่เขยว่า พี่สาวของเขาจะเข้าโรงพยาบาล เพื่อผ่าตัดมะเร็งเต้านม (ระยะแรก) ที่โรงพยาบาลเซนต์แมรี่ นครราชสีมา แบบเร่งด่วน แต่บุรุษผู้เป็นน้องชาย มีโปรแกรมต้องเดินทางไปกาฬสินธุ์ เขาจึงบอกพี่สาวไปว่า ..."ผมไม่ได้อยู่ดูแลนะ ขอให้เข้าโรงพยาบาล เพื่อผ่าตัดตามกำหนด แล้วผมจะภาวนาช่วย และให้ภาวนา "พุทโธ" นะ"... เธอตอบตกลง

          ความจริงแล้ว พี่สาวและพี่เขยของบุรุษผู้นี้ ต่างมีจิตใจใฝ่ในธรรม มักเข้าวัดทำบุญอยู่เป็นประจำ เนื่องจากครอบครัว คือ ตั้งแต่รุ่นปู่ย่าตายายลงมา จนถึงรุ่นพ่อแม่ มักมีความผูกพันอยู่กับวัด โดยเฉพาะยายและแม่ มักใส่บาตร ไปจังหันและเพลอยู่ทุกวันมิเคยขาด พอวันพระ ท่านก็จะนุ่งขาวห่มขาวไปรักษาศีล และเจริญภาวนาอยู่ที่วัด และเมื่อถึงวันพระคราใด ไม่บุรุษผู้น้องชาย หรือก็พี่สาว จะต้องทำหน้าที่ถือเสื่อสาดหมอน ไปส่งไปรับแม่และยายที่วัดเป็นประจำ ซึ่งเป็นนิสัยที่ต่างจากพี่น้องคนอื่นๆ 

         ต่อมา เมื่อราวปี 2553 พี่สาวและพี่เขย เริ่มเข้าวัดอย่างจริงจัง เพื่อภาวนาและถือศีลแปด เช่นเดียวกันกับแม่ของเขา และในที่สุด เธอก็โชคดี เมื่อได้พบและได้ไปปฏิบัติธรรมอยู่กับพ่อแม่ครูอาจารย์ หลวงพ่อฉลวย อาภาธโร ที่พักสงฆ์โคกปราสาท ที่อยู่ห่างจากหมู่บ้านของเธอ ราว 11 กิโลเมตร หลังจากนั้น ปลายปี 2554 บุรุษผู้เป็นน้องชาย ก็ตามไปถวายตัวเป็นศิษย์หลวงพ่อแห่งโคกปราสาท อีกทั้งผู้เป็นมารดาก็ได้ร่วมติดตามไปปฏิบัติธรรมด้วย

         หลวงพ่อฉลวย อาภาธโร ท่านมีปัญญาญาณอันกว้างไกล ท่านบอกพี่สาวไว้ล่วงหน้าแล้วว่า... "แตงโมที่ปลูกไว้ ก็งามดีดอก ได้เงินมากอยู่ แต่ก็ขอให้เก็บเงินไว้รักษาตัวเองด้วยเด้อโยม"... แล้วท่านก็สอนให้ภาวนา "พุทโธ" และให้พิจารณาถึงความตาย ว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เป็นอารมณ์ ให้พิจารณาร่างกายเป็นของไม่เที่ยง ไม่มีสิ่งใดเป็นของตนเลย โดยมีคำภาวนา "พุทโธ" เป็นหลัก ซึ่งพี่สาวได้เล่าให้ฟังว่า เมื่อเธอเริ่มภาวนาสมาธิครั้งแรกนั้น ปรากฏว่า จิตของเธอสงบเร็วมาก จนเกิดภาพนิมิต เห็นภาพพระสงฆ์และแม่ชีสลับกัน นั่นจึงเป็นกำลังใจ ให้เธอมุ่งปฏิบัติธรรมเรื่อยมา

         ท่านทั้งหลาย ครั้งแรกที่เธอเริ่มสัมผัสก้อนเนื้อร้ายที่เต้านมได้ เธอไม่ประมาท จึงได้ไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา หมอวินิจฉัยว่า เธอเป็นมะเร็ง เธอตกใจเล็กน้อย แต่ด้วยคุณแห่งการภาวนา และการพิจารณาสังขารอยู่เป็นประจำ พร้อมทั้งการพิจารณาเรื่องของเวรกรรม ที่ต้องชดใช้เจ้ากรรม จึงช่วยให้เธอระงับความวิตกกังวลได้  

         ต่อมาไม่นาน หมอได้นัดให้เธอมาตรวจอีกครั้ง เพื่อผ่าตัดเอาก้อนเนื้อตัวอย่างไปตรวจ (ยังไม่ตัดเต้านม) ปรากฏว่า ในขณะที่หมอกำลังผ่าตัดอยู่นั้น มีดผ่าตัดอันคมกริบ กลับไม่สามารถกรีดผิวหนังของเธอเข้าไปได้ เธอได้ยินหมอเรียกให้พยาบาลเอามีดเล่มใหม่มาให้ พร้อมกับพูดว่า "ผ่าไม่เข้า" เมื่อเปลี่ยนมีดเล่มใหม่แล้ว ก็ยังไม่สามารถกรีดเข้าอีก จนกระทั่งเล่มที่สาม จึงสามารถผ่าได้ เธอเล่าให้ฟังว่า เธอภาวนา "พุทโธ" อยู่ตลอดเวลา นี้จึงเป็นปาฏิหาริย์ ที่เกิดขึ้นกับเธอเป็นครั้งแรก

        ต่อมา เมื่อทราบผลชัดเจนแล้วว่า เธอเป็นมะเร็งร้ายในระยะแรก เธอจึงตัดสินใจเข้าไปผ่าตัดด่วน ที่โรงพยาบาลเซนต์แมรี นครราชสีมา ในวันศุกร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ 2555 ที่ผ่านมา พร้อมทั้งได้โทรศัพท์มาแจ้งบุรุษผู้เป็นน้องชาย พร้อมกับขอให้น้องชายภาวนาช่วยเธอด้วย เขาจึงบอกให้เธอภาวนา และขอให้อุทิศบุญกุศลแก่เจ้ากรรมนายเวรนะ ให้ระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ พ่อแม่ และครูอาจารย์ ขอบุญกุศลทั้งหลายที่ได้บำเพ็ญมาแล้ว จงมาระงับความเจ็บปวดทั้งหลายด้วย 

         ต่อมา ประมาณบ่ายสามโมง เธอได้เข้าห้องผ่าตัด ซึ่งเป็นเวลาเดียวกันกับที่บุรุษผู้เป็นน้องชาย ได้ส่งจิตอธิษฐานไปให้กำลังใจตามที่เธอขอร้อง ขณะที่ตัวเธอเองก็ได้ภาวนา "พุทโธ" อยู่ตลอดเวลา เมื่อพยาบาลนำเครื่องวัดหัวใจที่ใช้ในการผ่าตัด แม้เครื่องวัดจะมีกระแสไฟฟ้าเข้าปรกติ แต่ปรากฏว่า เข็มวัดและคลื่นวัดไม่ทำงาน แม้จะเปลี่ยนเครื่องใหม่แล้วก็ตาม แต่มันก็หยุดนิ่งเฉยอยู่อย่างนั้น พยาบาลและหมอ ต่างสาละวนว่า เกิดอะไรขึ้น พยาบาลเอ่ยปากถามพี่สาวว่า "ป้าๆ มีของดีของขลังอะไรอยู่ในตัวหรือเปล่า" พี่สาวตอบว่า "ไม่มีอะไรคุณหมอ" จนเวลาล่วงเลย คือยานอนหลับออกฤทธิ์ไม่รู้สึกตัวแล้ว หมอจึงลงมือผ่าตัดได้ นั่นจึงเป็นปาฏิหาริย์  ที่บังเกิดขึ้นกับเธอเป็นครั้งที่สอง

        ต่อมา เมื่อผ่าตัดเสร็จแล้ว หมอให้เธอมาพักผ่อนในห้องพิเศษเหมือนคนไข้ทั่วๆไป แต่ปรากฏว่า เธอไม่มีอาการเจ็บปวดหรือเป็นไข้ใดๆ หมอมาตรวจมาวัดทุกครั้ง ก็ได้คำตอบว่า ปรกติเหมือนคนทั่วไป ดูหน้าตาก็แจ่มใส กินอาหารได้มากกว่าปรกติ แผลก็หายเร็วกว่าปรกติ จนหมอสงสัยว่า เกิดอะไรขึ้น หรือเป็นการผ่าตัดเอาเต้านมออก โดยไม่ได้เป็นเนื้อร้ายหรือไม่ เนื่องจากหมอที่โรงพยาบาลแห่งนี้ เอาผลการตรวจมาจากโรงพยาบาลแรก โดยไม่ได้ตรวจซ้ำ จึงเกิดความโกลาหลขึ้นเล็กน้อย นี้จึงเป็นปาฏิหาริย์ ครั้งที่สาม 

        เมื่อบุรุษผู้เป็นน้องชาย ได้เดินทางกลับจากกาฬสินธุ์แล้ว ได้ไปเยี่ยมเธอที่โรงพยาบาล พร้อมกับได้อธิษฐานจิตแผ่พลังเมตตา เธอโน้มจิตรับเอาด้วยศรัทธา เธอบอกว่า มีพลังวิ่งไปทั่วร่างของเธอ เธอเกิดความปีติยินดี เพราะกระแสแห่งความเย็น ได้แผ่ซ่านไปทั้งตัวเธอ ต่อมา เธอจึงได้ปวารณาตัวว่า หากน้องชายออกบวชเมื่อไร เธอจะขอติดตามไปภาวนาด้วย และจะขอภาวนาไปตลอดชีวิต นี้จึงเป็นปาฏิหาริย์ ที่บังเกิดขึ้นกับเธอเป็นครั้งที่สี่ 

         ท่านทั้งหลาย ในวันต่อมา เธอเล่าให้ฟังว่า ประมาณช่วงตีสาม เธอได้ลุกขึ้นมาภาวนาบนเตียงคนไข้ นานจนถึงเกือบสว่าง ได้ปรากฏภาพนิมิตขึ้นมาว่า มีผู้หญิงผมยาวมายืนหน้าเศร้าอยู่ข้างเตียง บุรุษผู้เป็นน้องชาย จึงบอกให้เธออุทิศบุญให้เขานะ เขาคงมาขอส่วนบุญ พอคืนต่อมา ขณะที่เธอนั่งภาวนาบนเตียงคนไข้เหมือนเดิม ก็ปรากฏเห็นภาพเด็กหนุ่มมีเลือดเต็มศรีษะ มายืนอยู่ข้างเตียงอีก พร้อมกับเห็นภาพคนนอนตายอยู่ข้างโรงพยาบาลด้วย เธอจึงได้อุทิศแผ่บุญกุศลไปให้ เมื่อมีญาติๆ มาเยี่ยม ต่างก็แปลกใจว่า ทำไมเธอไม่เหมือนคนไข้ แถมยังมีหน้าตาสดชื่นผ่องใส แถมยังได้โปรดพวกวิญญาณอีกต่างหาก นี้จึงเป็นปาฏิหาริย์ ที่บังเกิดขึ้นกับเธอเป็นครั้งที่ห้า

         ท่านทั้งหลาย ที่ผู้เขียนนำเอาเรื่องราวนี้ มาเล่าสู่กันฟัง มิใช่จะยกตัวตนผู้ใดขึ้นมา แต่ก็เพื่อให้พวกเราได้ตระหนัก และเชื่อมั่นในคุณของพระพุทธ พระธรรม และพระอริยสงฆ์ และขอให้เชื่อมั่นในพลานุภาพแห่งคำภาวนา "พุทโธ" นั้น ชั่งยิ่งใหญ่จริงๆ ไม่มีสิ่งใดมาเสมอเหมือนได้ และขอให้เชื่อในเรื่องของบุญกุศล หรือแม้แต่การอุทิศแผ่บุญกุศล ให้กับเจ้ากรรมนายเวร และดวงวิญญาณต่างๆนั้น นับว่ามีอานิสงส์มาก และขอให้เชื่อมั่นว่า "ธรรมาโอสถ" นั้น เป็น "ธรรมาปาฏิหาริย์" ที่สามารถระงับความเจ็บปวดได้จริง นี่คือผลของการเจริญภาวนา "พุทโธ" และพิจารณาถึงความตาย ตามคำสอนของพระพุทธองค์ และตามคำแนะนำของหลวงพ่อแห่งโคกปราสาท จึงส่งผลอย่างที่ผู้เขียนกล่าวมาแล้ว จึงขออนุโมทนา กับผู้ที่ได้อ่านเจอข้อความนี้ ทุกท่านเทอญ

        ขอเจริญในธรรม
        อกุปปธรรม
        11 กุมภาพันธ์ 2555

วันเสาร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2563

(024) วนะ หรือ ป่า มีความงามแก่พระภิกษุเช่นไร



วนะ * หรือ ป่า *

มีความงามแก่พระภิกษุเช่นไร?


* พระอานนท์ ว่า : งามสำหรับพระภิกษุผู้สดับตรับฟังมาก

* พระเรวตะ ว่า  :  งามสำหรับพระภิกษุผู้หลีกเร้น ประกอบเจโตสมถะในภายใน

* พระอนุรุทธ์ ว่า  :  งามสำหรับภิกษุผู้มีทิพย์จักษุ

* พระมหากัสสป ว่า : งามสำหรับพระภิกษุผู้อยู่ป่า เที่ยวบิณฑบาต นุ่งห่มผ้าบังสุกุล จนถึงสมบูรณ์ด้วยศีล สมาธิ ปัญญา วิมุตติ วิมุตติญาณทัสสนะ

* พระโมคคัลลานะ ว่า :  งามในเมื่อภิกษุ ๒ รูป สนทนาถามตอบอภิธัมมกถากัน 

* พระสารีบุตร ว่า  : งามสำหรับภิกษุผู้คุมจิตไว้ในอำนาจได้ ปรารถนาจะอยู่ด้วยธรรมะเป็นเครื่องอยู่อันใดในเวลาไหน ก็อยู่ได้ดังประสงค์

* พระพุทธองค์ก็ตรัสรับรองคำกล่าวของทุกรูปว่า ดีทุกรูปโดยปริยาย คือ ในแง่ใดแง่หนึ่ง

* ส่วนพระพุทธองค์เองกลับตรัสว่า :  "ป่านี้งามสำหรับภิกษุผู้กลับจากบิณฑบาต นั่งคู้บัลลังก์(ขัดสมาธิ) ตั้งกายตรง ดำรงสติเฉพาะหน้า ตั้งใจว่าจะไม่เลิกนั่งสมาธิ ตราบใดที่จิตไม่พ้นจากอาสวะ  ไม่ถือมั่นด้วยอุปาทาน"

          อนึ่ง เมื่อพิจารณาดังข้างต้น จะเห็นได้ว่า พระอริยเถระเจ้าทั้งหมดกล่าวว่า ป่านี้งามสำหรับผู้มีคุณพิเศษต่างๆ ซึ่งเป็นพระอริยเจ้าผู้เลอเลิศอยู่แล้ว แต่สำหรับพระพุทธองค์กลับตรัสว่า ป่านี้งามสำหรับภิกษุผู้ยังไม่มีคุณพิเศษใดๆเลย  แต่มีความตั้งใจเพียรว่า ถ้ายังไม่สิ้นกิเลส ก็จะไม่ลุกจากที่นั่ง

         ดังนั้น ป่าจึงมีความสำคัญต่อพระภิกษุ หรือนักปฏิบัติ ผู้ปรารถนาความหลุดพ้น  จึงต้องอาศัยป่าเป็นที่ปลีกเร้นภาวนา ฉะนั้น พระสายปฏิบัติ จึงจำเป็นต้องหาสถานที่ที่ยังคงความเป็นป่า ด้วยเหตุที่พระผู้มีพระภาคเจ้า พาปฏิบัติสืบทอดกันมา ตั้งแต่เมื่อครั้งพุทธกาลนั่นเอง

*..."แล้วพวกเรา เป็นผู้งดงาม (ด้วยศีล ด้วยธรรม) สมควรแก่ป่า (หุบใหญ่) ที่งามแล้วหรือยัง?"...*


                                        "ดร.นนต์" ขันติพโล ภิกขุ

                                        ที่พักสงฆ์ ป่าหุบใหญ่อาภาธโร (ธ)

                                        ป่าชุมชนหุบใหญ่เมืองลับแล บ้านงิ้ว

                                        ต.ท่าจะหลุง อ.โชคชัย จ.นครราชสีมา

                                        29 กุมภาพันธ์ 2563