* วนะ * หรือ * ป่า *
มีความงามแก่พระภิกษุเช่นไร?
* พระอานนท์ ว่า : งามสำหรับพระภิกษุผู้สดับตรับฟังมาก
* พระเรวตะ ว่า : งามสำหรับพระภิกษุผู้หลีกเร้น
ประกอบเจโตสมถะในภายใน
* พระอนุรุทธ์ ว่า : งามสำหรับภิกษุผู้มีทิพย์จักษุ
* พระมหากัสสป ว่า : งามสำหรับพระภิกษุผู้อยู่ป่า เที่ยวบิณฑบาต
นุ่งห่มผ้าบังสุกุล จนถึงสมบูรณ์ด้วยศีล สมาธิ ปัญญา วิมุตติ วิมุตติญาณทัสสนะ
* พระโมคคัลลานะ ว่า : งามในเมื่อภิกษุ ๒ รูป
สนทนาถามตอบอภิธัมมกถากัน
* พระสารีบุตร ว่า : งามสำหรับภิกษุผู้คุมจิตไว้ในอำนาจได้ ปรารถนาจะอยู่ด้วยธรรมะเป็นเครื่องอยู่อันใดในเวลาไหน ก็อยู่ได้ดังประสงค์
* พระพุทธองค์ก็ตรัสรับรองคำกล่าวของทุกรูปว่า ดีทุกรูปโดยปริยาย คือ
ในแง่ใดแง่หนึ่ง
* ส่วนพระพุทธองค์เองกลับตรัสว่า : "ป่านี้งามสำหรับภิกษุผู้กลับจากบิณฑบาต นั่งคู้บัลลังก์(ขัดสมาธิ) ตั้งกายตรง ดำรงสติเฉพาะหน้า ตั้งใจว่าจะไม่เลิกนั่งสมาธิ ตราบใดที่จิตไม่พ้นจากอาสวะ ไม่ถือมั่นด้วยอุปาทาน"
อนึ่ง เมื่อพิจารณาดังข้างต้น จะเห็นได้ว่า พระอริยเถระเจ้าทั้งหมดกล่าวว่า ป่านี้งามสำหรับผู้มีคุณพิเศษต่างๆ ซึ่งเป็นพระอริยเจ้าผู้เลอเลิศอยู่แล้ว แต่สำหรับพระพุทธองค์กลับตรัสว่า ป่านี้งามสำหรับภิกษุผู้ยังไม่มีคุณพิเศษใดๆเลย แต่มีความตั้งใจเพียรว่า ถ้ายังไม่สิ้นกิเลส ก็จะไม่ลุกจากที่นั่ง
ดังนั้น ป่าจึงมีความสำคัญต่อพระภิกษุ หรือนักปฏิบัติ ผู้ปรารถนาความหลุดพ้น จึงต้องอาศัยป่าเป็นที่ปลีกเร้นภาวนา ฉะนั้น พระสายปฏิบัติ จึงจำเป็นต้องหาสถานที่ที่ยังคงความเป็นป่า ด้วยเหตุที่พระผู้มีพระภาคเจ้า พาปฏิบัติสืบทอดกันมา ตั้งแต่เมื่อครั้งพุทธกาลนั่นเอง
*..."แล้วพวกเรา เป็นผู้งดงาม (ด้วยศีล ด้วยธรรม) สมควรแก่ป่า (หุบใหญ่) ที่งามแล้วหรือยัง?"...*
"ดร.นนต์" ขันติพโล ภิกขุ
ที่พักสงฆ์ ป่าหุบใหญ่อาภาธโร (ธ)
ป่าชุมชนหุบใหญ่เมืองลับแล บ้านงิ้ว
ต.ท่าจะหลุง อ.โชคชัย จ.นครราชสีมา
29 กุมภาพันธ์ 2563
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น